Categories
สยท-news

“เซาท์แลนด์ฯ” ชิงประมูลยางแผ่น 63.09 บาท ทำนิวไฮ รอบ 2 ปี

ชาวสวนเฮ โรงงานน้ำยางข้น-ยางแผ่น เปิดศึกแย่งซื้อ ดันราคาพุ่ง “เซาท์แลนด์ฯ” ชิงประมูลยางแผ่น 63.09 บาท ทำนิวไฮ รอบ 2 ปี ขณะ “เพิก” ยังฝันต่อยางกิโลฯละ ไม่ต่ำกว่า 100 บาท

นายเพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ด กยท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า วันที่ 16 มกราคม 2567 บริษัท เซาท์แลนด์รับเบอร์ จำกัด ได้เข้าไปประมูลซื้อยางพาราในสำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ที่กิโลกรัม(กก.)ละ 63.09 บาท ทำนิวไฮสูงสุดรอบ 2 ปี เป็นผลสืบเนื่องจากสมาคมยางพาราไทย ได้เข้ามาหาที่สำนักงานฯ และมีบางรายที่ได้ไปเยี่ยมถึงที่บริษัท ได้มีการพูดคุยกันถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายราคายางตามนโยบายของร้อยเอกธรรมนัส  พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะมุ่งส่งเสริมยางพาราตามข้อกำหนดของ The EU Deforestation-free Regulation (EUDR) หรือยางที่ไม่ทำลายป่าหรือสิ่งแวดล้อมที่จะเป็นตัวชี้นำราคายางโลก

“ประเทศที่จะทำยาง EUDR ในโลกได้ คือ ประเทศไทย และองค์กรที่จะทำได้ในประเทศไทยก็คือ กยท. ดังนั้นความชัดเจนที่ส่งสัญญาณชัดไปถึงผู้ประกอบการก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ถ้ามุ่งไปทำสวนยางให้ตอบโจทย์ EUDR ให้กับต้นไม้ยางพาราทุกต้นในประเทศได้ ราคาตลาดที่ไม่ใช่เป็น EUDR จะมีส่วนต่างไม่ต่ำกว่า 3 บาท/กก. อาจจะไปแตะราคาขึ้นไปสูงถึง 5 บาทได้ด้วย เพราะเป็นความต้องการของคนทั้งโลกที่เรียกหา EUDR ”

นายเพิก กล่าวอีกว่า ราคายาง ตนอยากจะผลักดันทำให้เกษตรกรได้รับประโยชน์เหมือนถูกหวย 3 ตัวตรง ไม่ใช่ 2 ตัวท้ายอีกต่อไป โดยอาศัยในเรื่องการบริหารจัดการ และความเป็นไปได้ ซึ่งต้องขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ที่ให้โอกาสในการให้มาทำงานเพื่อพี่น้องชาวสวนยาง

“วันนี้คนที่ไปยุ่งเกี่ยวกับยางเถื่อน โรงงานหลายโรงก็รับปากแล้วว่าจะไม่รับซื้อ ดังนั้นพวกยี่ปั้วหากนำยางเถื่อนเข้ามาขายก็ให้ระวังไว้ว่าจะขาดทุน เพราะจะเอาไปขายที่ไหนไม่ได้”

ด้านนายชูวิทย์  จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER กล่าวถึงสถานการณ์ยางพาราในช่วงนี้ว่าได้ปรับราคาขึ้น เป็นผลจากผู้ประกอบการเกรงว่าซัพพลายจะขาดแคลน รวมถึงจากปัญหาน้ำท่วมในภาคใต้ ขณะนี้เวลานี้ได้เข้าสู่ปลายฤดูกรีดยางที่จะเข้าสู่ฤดูแล้งแล้ว ต้องเร่งซื้อของเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้า ซึ่งมองว่ายางแผ่นอาจจะมีโอกาสราคาปรับตัวสูงขึ้นถึง 65 บาท/กก. มีความเป็นไปได้ อย่างไรก็ดีจากภาวะเอลนีโญ ไม่มีใครกล้าประมาณการในเรื่องผลผลิต ดังนั้นในช่วงนี้ถ้ามีผลผลิตก็เร่งซื้อเพื่อลดความเสี่ยงไว้ก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะมีผลผลิต

สอดคล้อง นายพงศ์นเรศ  วนสุวรรณกุล นายกสมาคมน้ำยางข้นไทย กล่าวว่า ซัพพลายยางพาราในช่วงนี้ ปริมาณน้ำยางมีน้อยมาก ผู้ประกอบการแย่งกันซื้อ ทำให้บางพื้นที่ราคาน้ำยางสดปรับสูงถึง กก.ละ 60 บาท  ขณะที่ผู้ค้ารายใหญ่ (จีน) ยังชะลอรับซื้อ ขณะที่มองว่ากำลังเข้าสู่ฤดูยางผลัดใบแล้ว ถ้าในช่วงนี้ไม่รีบซื้อ ก็ห่วงว่าเดือนกุมภาพันธ์จะไม่มียาง และปีนี้ก็คาดว่าจะแล้งยาว อาจจะส่งผลทำให้น้ำยางไม่มีในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ดังนั้นจึงเป็นที่มาทำให้ทุกคนต้องเร่งซื้อกัน จะขายได้หรือไม่ได้ ก็ต้องซื้อไว้ก่อนเพื่อป้อนให้กับลูกค้าประจำ

ด้านนายอุทัย  สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวถึง ราคายางมีแนวโน้มปรับขึ้น จากที่ทุกประเทศที่ปลูกยาง ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ประสบปัญหาโรคใบร่วง ทำให้ผลผลิตในประเทศลดลงมาก รวมทั้งประเทศไทยด้วย  ได้ส่งผลกระทบแล้วโดยเฉพาะผู้ค้ารายใหญ่วิกฤตไม่สามารถหายางส่งให้ลูกค้าตามคำสั่งซื้อได้ ตอนนี้ก็ต้องออกไปกว้านหาซื้อตามประเทศต่าง ๆ เพื่อส่งมอบให้ลูกค้า ซึ่งจะเห็นว่าวิกฤตขาดในปีนี้รุนแรงจริง ดังนั้นราคายางปรับขึ้นก็นับว่าเป็นโอกาสดี สำหรับผู้บริหารที่เข้ามาบริหารยางทั้งประเทศ ซึ่งก็ขอให้ดีตลอดไป

“ใครก็ได้ที่มาทำให้ราคายางดี ผมก็คิดว่าเป็นประโยชน์กับเกษตรกร ก็ขอให้ยั่งยืน ราคามีเสถียรภาพ อีกด้านหนึ่งก็เป็นผลดีกับรัฐมนตรีเกษตรฯ และบอร์ด ที่เข้ามาบริหารยางพาราในช่วงนี้ที่เข้ามาดูแล สิ่งที่จะต้องทำก็คือในการวางแผนระยะยาว อาทิ เปลี่ยนพันธุ์ยาง และการขายคาร์บอนเครดิต  รวมทั้งปลูกพืชร่วมยาง ทำผลิตภัณฑ์ยางให้เป็นอาชีพเสริมและมีรายได้ถาวร ในช่วงที่ชาวสวนยางไม่ได้กรีดยาง แต่ก็เห็นอยู่ว่า กยท.ก็ดำเนินการอยู่หลายมาตรการ รวมถึงการทำโฉนดต้นไม้ยางนำมาค้ำประกันเงินกู้ ก็ดีทำให้เกษตรกรมีทางออก  ซึ่งตามแผน กยท.จะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ล้อยาง และก็ขอให้เป็นไปตามคำพูดที่ได้ให้สัญญาไว้  แค่ทำให้เกษตรกรมีความสุข ผมก็พอใจแล้ว”

Retrieved from
https://www.thansettakij.com/business/trade-agriculture/586003
Categories
สยท-news

ดัน “สวนยางระยอง” ขาย CO2 วรุณาเครือ ปตท.ดึง 2 หมื่นไร่รับมือ CBAM

Retrieved from https://www.prachachat.net/local-economy/news-1464996

วรุณาเครือ ปตท.ผนึกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางฯ-กยท.ดัน “สวนยาง จ.ระยอง” 2 หมื่นไร่ นำร่องขายคาร์บอนเครดิต ก่อนชง อบก.อนุมัติขายคาร์บอนเครดิตให้ทันกลางปี 2567

ดร.อุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทางสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยเตรียมจัดงาน “มหกรรมยางพาราและเกษตรแฟร์ไทย-จีน EEC 2024” ระหว่างวันที่ 5-15 เมษายน 2567 ที่จังหวัดระยอง โดยมีเครือข่ายชาวสวนยางพารา หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงมหาวิทยาลัยชิงเต่า ประเทศจีน ฯลฯ เข้าร่วม ที่สำคัญภายในงานจะเปิดให้เกษตรกรมาลงทะเบียนซื้อขายคาร์บอนเครดิตยาง

โดยมี บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด หรือ VARUNA ผู้ให้บริการเทคโนโลยีอัจฉริยะในภาคการเกษตรและสิ่งแวดล้อม ภายใต้การกำกับดูแลของบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส หรือ ARV ในเครือ ปตท.สผ., บริษัท SCG ปูนซิเมนต์ และธนาคารกรุงไทย มาร่วมดำเนินการ

โดยมีการเปิดอบรมให้ความรู้ในการดำเนินการโครงการคาร์บอนเครดิตสวนยางไปตลอดงาน การเข้าร่วมโครงการจะทำให้ชาวสวนยางมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายคาร์บอนเครดิต

“ที่ผ่านมา กยท.ระยองได้มีการนำร่องโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดยทางบริษัท วรุณาในเครือ ปตท.ได้เข้ามาช่วยสำรวจเก็บข้อมูลต่าง ๆ เรื่องการกักเก็บคาร์บอนในสวนยางไประดับหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะขยายผลไปยังสวนยางทั่วประเทศต่อไป” ดร.อุทัยกล่าวและว่า

สำหรับการจัดงาน “มหกรรมยางพาราและเกษตรแฟร์ไทย-จีน EEC 2024” ภายในงานมีการจัดอบรมสัมมนาวิชาการและแสดงนวัตกรรมเกี่ยวกับยางพารา งานแสดงเครื่องจักรผลิตยางแปรรูปยางทันสมัย มีการจับคู่ธุรกิจการซื้อขายผลิตภัณฑ์ยางทุกรูปแบบ ยางก้อนถ้วย น้ำยางสด ยางรมควัน ยางแท่ง ฯลฯ

นายองค์กรณ์ รจนา ผู้ช่วยผู้อำนวยการการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดระยอง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทาง กยท.จังหวัดระยองได้นำร่องดำเนินการโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตสวนยางมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566

โดยมีการหารือกับสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และบริษัท วรุณา มาร่วมกันดำเนินโครงการ และมีการประสานงานกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เกี่ยวกับรูปแบบวิธีปฏิบัติในการบริหารจัดการสวนยาง ตามเป้าหมายโครงการตั้งเป้าต้องการให้มีเกษตรกรเข้าร่วมประมาณ 20,000 ไร่

ปัจจุบันมีเกษตรกรชาวสวนยางที่อยู่ในพื้นที่ อ.เมือง และ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เข้าร่วมประมาณ 7,000 ไร่ และคาดว่าภายในไตรมาส 1 ของปี 2567 จะมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการครบตามเป้าหมาย

“ที่ผ่านมา กยท.มีโครงการสนับสนุนให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการโค่นไม้ยางพาราเก่าและปลูกใหม่ทดแทน โดยสามารถยื่นคำร้องรับเงินสนับสนุนการปลูกแทนจาก กยท.อัตราไร่ละ 16,000 บาท เราจะดึงเกษตรกรกลุ่มนี้มาเข้าร่วม จะทำให้ครบ 2 หมื่นไร่

การกำหนดเป้าหมายที่ 20,000 ไร่ เพราะมีตัวอย่างบทเรียนจากผู้บริหาร สปป.ลาวที่เคยทำโครงการขายคาร์บอนเครดิตมาตั้งแต่ 9 ปีที่แล้ว ได้นำโมเดลที่เคยทำในพื้นที่ 2,500 ไร่ ต้องใช้เวลา 9 ปีถึงจะคืนทุน จึงมีการคิดต่อยอดจากโมเดลดังกล่าวว่า ถ้าทำในพื้นที่สวนยาง 20,000 ไร่ เกษตรกรสามารถคืนทุนในการบริหารจัดการได้เร็ว

และสามารถจ่ายเงินให้เกษตรกรได้เร็วภายใน 3 ปี โดยปีแรกเป็นช่วงการเก็บข้อมูลพื้นฐาน ปีที่ 2 เก็บข้อมูลเพื่อประเมินคาร์บอนเครดิต ปีที่ 3 มีการประเมินคำนวณได้ว่า แต่ละสวนยางมีปริมาณกักเก็บคาร์บอนได้เท่าไหร่ ตามกติกาและกฎเกณฑ์ที่ อบก.กำหนด

ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการเปิดรับสมัครเกษตรกรชาวสวนยางเข้าร่วมโครงการ หลังจากนั้นมีการอบรม เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจกับเกษตรกร ว่ายังไม่ได้เงินจากการขายคาร์บอนเครดิตทันที ต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ปีที่ 3 ถึงเริ่มขายได้

ทั้งนี้ ตามกรอบโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตสวนยางทั้งหมดของ กยท. จ.ระยอง จะต้องแล้วเสร็จและนำเสนอให้ อบก.อนุมัติภายในกลางปี 2567 เพื่อเสนอขายคาร์บอนเครดิต เพื่อให้ทันกับมาตรการที่สหภาพยุโรปเริ่มบังคับใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) 6 กลุ่มสินค้าคือ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน

นายองค์กรกล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันทั้งจังหวัดระยองมีพื้นที่ปลูกยางที่มีเอกสารสิทธิที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. ประมาณ 3.5 แสนกว่าไร่ และไม่มีเอกสารสิทธิประมาณ 7 หมื่นไร่ ที่ผ่านมาบริษัท วรุณา ได้เข้ามาสำรวจ และมีการประเมินพื้นที่ปลูกยางพาราเบื้องต้นในจังหวัดระยอง ด้วยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศประเมินค่าเฉลี่ยอายุการปลูกยาง 10-15 ปี พบว่ามีการกักเก็บคาร์บอนประมาณเกือบ 2 ตันคาร์บอนต่อไร่ต่อปี

หลังจากหักการใช้ปุ๋ยเคมีและสิ่งต่าง ๆ ในสวนยาง อย่างไรก็ตาม หลังจากนำร่องโครงการในระยองแล้ว จะขยายไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ต่อไป

Categories
News

รู้จัก ‘นาฬิกาชีวิต’ กับกิจกรรมที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา

Retrieved from Youtube Channel @WeChillChannel [Chillpainai ชิลไปไหน]
Categories
สยท-news

นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ระดมสมองผู้เชี่ยวชาญด้านยางพารา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสวนยางพาราในเขตภูมิภาคให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย  ระดมสมองผู้เชี่ยวชาญด้านยางพารา  เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสวนยางพาราในเขตภูมิภาคให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ดร.อุทัย  สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย  เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดเวทีเสวนา  “การพัฒนาสวนยางพาราสู่สัมมาชีพชุมชน” ว่า  เป็นการประชุมวิชาการระดับชาติ ประจำปี 2566   จัดขึ้นโดยสาขาวิชาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์  คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมศาสตร์  เนื่องในโอกาสงานเกษตรแม่โจ้ ครบรอบ 90 ปี  ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา มหาวิทยาลัยแม่โจ้  อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่  ทั้งนี้  ในเวทีเสวนาวิชาการดังกล่าวได้นำเสนอ “หลักการและแนวทางการพัฒนาสวนยางยั่งยืน”  จาก ดร.วิทยา พรหมมี หัวหน้ากองวิจัยและพัฒนาการผลิตยาง สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย  และการนำเสนอ ”แนวทางการส่งเสริมสนับสนุนให้ทุนปลูกแทนสวนยางยั่งยืน” จากนายพยนต์ แสงเทศ หัวหน้ากองส่งเสริมการปลูกแทนและปลูกใหม่ ฝ่ายส่งเสริมและการพัฒนาการผลิต รวมทั้ง การนำเสนอ ”แนวทางการปฏิบัติงานในพื้นที่เพื่อตอบโจทย์การบริหารจัดการสวนยางยั่งยืน”  จากนายองค์กรณ์ รจนา ผู้ช่วยผู้อำนวยการการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดระยอง รวมทั้งการนำเสนอ ”แนวทางการพัฒนาสถาบันเกษตรกรเพื่อความยั่งยืนในสัมมาชีพ” จากนายดิษฐเดช วัฒนาพร ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร  ซึ่งการเสวนาวิชาการครั้งนี้เป็นอีกก้าวหนึ่งที่จะนำไปสู่การพัฒนาสวนยางพาราในเขตภูมิภาคต่าง ๆ ที่มีการปลูกยางของไทยในอนาคต

นอกจากนี้  สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ยังได้สนับสนุนมอบทุนการศึกษาจากคุณเอนก บุตรโสภา  ประธานยุทธศาสตร์ ด้าน CSR  สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย   ประสานบริษัท นพรุจ  รีไซเคิล จำกัด เพื่อมอบให้แก่นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์  จำนวน 12 คน  แบ่งเป็นประเภทเรียนดี 2 ทุน  และประเภทขาดแคลนทุนทรัพย์ 10 ทุนอีกด้วย

Categories
News

20231030 RVC Healthcare Info Vol.2

Categories
News

Samasai Volunteer Club Rayong Intro Ver.20230918

Categories
News

โครงการธนาคารความดี YouTube Clip by RVC

Categories
News

ปลัด มท. ประชุม ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ผู้นำท้องถิ่นทั่วประเทศ มอบแนวทางปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง “ด้วยระบบ ThaiQM” 

ปลัด มท. ประชุม ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ผู้นำท้องถิ่นทั่วประเทศ มอบแนวทางปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง “ด้วยระบบ ThaiQM” ตั้งเป้าสำรวจเพิ่มเติมเขตเทศบาล 6 ล้านครัวเรือน และ ReX-ray 14.5 ล้านครัวเรือน 

ปลัด มท. ประชุม ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ผู้นำท้องถิ่นทั่วประเทศ มอบแนวทางปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัญญาของเศรษฐกิจพอเพียง “ด้วยระบบ ThaiQM” ตั้งเป้าสำรวจเพิ่มเติมในเขตเทศบาล 6 ล้านครัวเรือน พร้อม Re X-ray 14.5 ล้านครัวเรือนเดิม ให้แล้วเสร็จภายใน 31 ม.ค. 67

วันนี้ (21 พ.ย. 66) เวลา 13.30 น. ที่ห้องราชสีห์ ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบแนวทางปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยระบบ ThaiQMกระทรวงมหาดไทย ปี 2567 ครั้งที่ 1/266 โดยมี นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายวิฑูรย์ นวลนุกูล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายศิริพันธ์ ศรีกงพลี รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด นายอำเภอ นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ร่วมประชุมฯ ผ่านระบบประชุมวีดีทัศน์ทางไกล

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยระบบ ThaiQM นั้น ในปีที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทย ได้รับความร่วมมือที่ดีอย่างยิ่งจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอำเภอ ที่ได้ช่วยกันนำภาคีเครือข่ายไปเคาะประตูบ้านพี่น้องประชาชน โดยสามารถเก็บข้อมูลจากครัวเรือนได้มากถึง 14,562,655 ล้านครัวเรือน ซึ่งพบครัวเรือนที่มีปัญหา 3,810,466 ครัวเรือน โดยได้ดำเนินการแก้ไขไปแล้ว 3,614,409 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยล่ะ 94.85 ทั้งนี้จะมีครัวเรือนที่อยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหา 196,057 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 5.15 ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญยิ่งที่เราจะต้องคิดหาแนวทางแก้ไขให้ได้ เพื่อให้ปัญหาหมดสิ้นไป โดยการสำรวจปัญหาความยากจนและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในปีที่ผ่านมานั้น เราพบว่าสิ่งหนึ่งที่เราอาจตกหล่นไปนั่นคือ อีกประมาณ 6 ล้านกว่าครัวเรือน ที่อยู่ในเขตของเทศบาลเมืองและเทศบาลนครไม่ได้ถูกทำการสำรวจ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยยึดหลักว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (No one left behind)” จึงจำเป็นต้องสำรวจครัวเรือนในเขตเทศบาลทุกแห่ง เพื่อที่จะได้รู้ปัญหาอย่างครบถ้วน โดยเรามีความคิดในเบื้องต้นว่า ถึงแม้จะเป็นสังคมเมืองก็จริง แต่ปัญหาก็อาจจะมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหนี้นอกระบบ ลูกหลานไม่ได้รับการศึกษา หรือแม้กระทั่งปัญหาการมีส้วมแต่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือปัญหาอื่น ๆ ที่อาจจะกระทบต่อการดำรงชีวิตในแต่ละวัน จะต้องได้รับการแก้ไข

แนวทางปฏิบัติที่สำคัญต่อมา คือ การ Re X-ray ครัวเรือน ที่เคยได้รับการสำรวจ และครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อนใหม่หรือครัวเรือนที่ตกหล่นไป ซึ่งครัวเรือนเหล่านี้เราจะพบจากสื่อ Social Media หรือ สื่อออนไลน์ ซึ่งเมื่อเราได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วพบว่า ครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อนใหม่หรือบางครัวเรือนเป็นครัวเรือนที่ตกหล่นไปจากการสำรวจ ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลสำคัญอย่างยิ่งที่ต้อง Re X-ray อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้การสำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ขอให้ท่านนายอำเภอ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีการแต่งตั้งที่ปรึกษา คณะกรรมการ และคณะทำงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ ทั้งจังหวัด อำเภอ และตำบล เผื่อในกรณีที่มีการโยกย้ายหรือต้องการสับเปลี่ยนบุคคล เพื่อให้การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนนี้เป็นหน้าที่ของท่านผู้ว่าฯ ท่านนายอำเภอ ที่จะต้องร่วมประชุมพูดคุย ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งการที่จะวิเคราะห์และหารือร่วมกับ 7 ภาคีเครือข่าย ในลักษณะของการแก้ไขปัญหาในรูปแบบชี้เป้าหรือพุ่งเป้า ต้องทำให้ตรงกับสมุฏฐานหรือสาเหตุแห่งโรค โดยใช้มิติทั้ง “ยาฝรั่ง” และ “ยาไทย” โดย ยาฝรั่ง คือ การแก้ไขปัญหาและบรรเทาทุกข์ในเบื้องต้น ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการแก้ไขกันไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนในมิติของยาไทยนั่นคือการสร้างความยั่งยืนโดยใช้พลังของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ใช้กลไกทีมจังหวัด ทีมอำเภอ บูรณาการทีมที่เป็นทางการ คือ หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ และทีมจิตอาสาภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทั้งภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน ประชุมหารือวางแผนหาแนวทางร่วมกัน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการสำรวจครัวเรือนในครั้งใหม่นี้ จะมีแบบฟอร์มการสอบถามใหม่ในระบบ ThaiQM เพื่อให้เท่าทันกับสถานการณ์และความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยจะมีคำถามที่เพิ่มเติมขึ้นมาเล็กน้อย อาทิ เรื่องเด็กกำพร้าในครัวเรือน หรือคำถามการมีผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งเราพบว่าในหลายภูมิภาคมีปัญหาผู้ป่วยจิตเวชจำนวนมากขึ้น เราจึงใช้โอกาสนี้ในการสำรวจเพิ่มเติมด้วย อีกส่วนหนึ่งที่เป็นนโยบายสำคัญของท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ในเรื่องของน้ำดื่ม ก็จะมีคำถามเพิ่มเติม อาทิ การมีน้ำดื่มสำหรับการบริโภคในแต่ละวัน แต่ละอาทิตย์เพียงพอหรือไม่

สำหรับการสำรวจในเขตเทศบาลเมือง และเทศบาลนคร ซึ่งจากปัญหาที่เราได้ตั้งสมมติฐานไว้เบื้องต้น คือบางครั้งในพื้นที่สังคมเมือง ที่เป็นนิติบุคคล ที่เป็นคอนโด และหมู่บ้านจัดสรร ทำให้การสำรวจเป็นไปด้วยความยากลำบาก เราก็อำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้เก็บแบบสำรวจว่า ตัวผู้ให้ข้อมูลไม่สะดวกให้ข้อมูลหรือว่าไม่สามารถเก็บข้อมูลในพื้นที่ดังกล่าวได้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ในการสำรวจข้อมูล และรายงานข้อมูลได้ครบถ้วน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการสำรวจปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ในขณะนี้ได้ตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 เพื่อให้ทันต่อการประชาคมแผนในระดับชุมชน/หมู่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อที่จะได้นำข้อมูลที่ได้จากการ Re X-ray ในครั้งนี้เข้าสู่เวทีประชาคมแผนในระดับต่าง ๆ เพื่อให้ปัญหาของพี่น้องประชาชนได้ถูกบรรจุไว้ในแผน เพราะอาจมีปัญหาในบางข้อ บางประการ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในระดับพื้นที่ ได้มีการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาอำเภอและจังหวัดนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่อไป

“เพื่อให้การบำบัดทุกข์ บำรุงสุข เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง ตามความตั้งใจของท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ในการทำให้พี่น้องประชาชนมีความอุดมสมบูรณ์พูนสุข ก็อยากจะขอให้พวกเราชาวมหาดไทยเป็นผู้นำในการเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการที่จะเป็นคณะทำงาน เป็นคณะกรรมการ ที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาความยากจนในปีนี้ให้สำเร็จ ช่วยกัน Change for Good สร้างสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย เป็นการปฏิบัติบูชาในการที่จะร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีพระชนมายุครบ 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่กำหนดไว้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 ซึ่งหมายความว่า เราจะมีเวลาอย่างเต็มที่ในการที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนของเราในปีมหามงคล ด้วยการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้มีความยั่งยืนในทุกมิติ” นายสุทธิพงษ์กล่าวทิ้งท้าย

Retrieved from https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/75057
Categories
News

ทุนมูลนิธิราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ @DPU

เป็นทุนที่มูลนิธิราชประชาสมาสัยเฉลิมพระเกียรติ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สนับสนุนทุนเพื่อสนองพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการสนับสนุนทุนการศึกษาและการดำรงชีวิตให้แก่นักเรียนผู้รับทุนพระราชทานการศึกษาต่อเนื่องจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หรือตามความสามารถของผู้รับทุน ปีละ 8,000 บาท ซึ่งทางมูลนิธิฯ จะแจ้งรายชื่อผู้รับทุนให้ทางมหาวิทยาลัยทราบ เพื่อติดต่อนักศึกษามากรอกแบบฟอร์มรับทุนและรายงานผลให้มูลนิธิฯ ต่อไป

KPI  ทุนมูลนิธิราชประชาสมาสัย  ในพระบรมราชูปถัมภ์

1.  ต้องรักษาเกรดเฉลี่ย 2.00 ต่อปี หน่วยเคลื่อนไหว 18 หน่วยกิต

2.  ต้องเข้าร่วมโครงการที่มหาวิทยาลัยขอความร่วมมือ  ไม่น้อยกว่า 3  โครงการ / ปีการศึกษา

3.  ไม่ประพฤติผิดข้อบังคับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ว่าด้วย ระเบียบวินัยนักศึกษาขั้นปริญญาบัณฑิต พ.ศ. 2539 และข้อบังคับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ว่าด้วย การสอบไล่ของนักศึกษาขั้นปริญญาบัณฑิต พ.ศ. 2548

Categories
สยท-news

รายการเสวนาภาษาเกษตร | 23.10.66 | MVTV Thailand